บางส่วนอ้างอิงมาจาก เว็บบอร์ดภายในระบบ 21millionaire.com ( ทีมธุรกิจ ที่เป็น ครอบครัว พี่ น้อง คอยให้กำลังใจกันตลอด เพราะเรายึดถือหลักการคือ “ยิ่งให้ ยิ่งได้” )
เรื่องที่ 1
เมื่อกล่าวถึง “ปัญหา” คุณคิดยังไงกับคำนี้
ก. ไม่อยากยุ่งเกี่ยว ไม่อยากเจอ เพราะมันวุ่นวาย
ข. ยอมรับว่าปัญหาคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น เป็นสิ่งท้าทาย ที่ต้องหาทางแก้ให้ได้
ถึงแม้คำตอบ ข. จะเป็นคำตอบที่สวยหรู แต่ในชีวิตจริงแล้วคนส่วนใหญ่กำลังอยู่ในข้อ ก. นะครับ
เหตุผลนั้นเหรอ…..มันง่ายมากๆเลยครับ
คือ…….
“ปัญหา” มันสร้างความวุ่นวายให้คุณเมื่อคุณมี “เป้าหมาย” ที่เล็กกว่ามัน
น่าเป็นห่วงสำหรับคนที่กำลังเป็นแบบนี้นะครับ
เพราะคุณได้อนุญาตให้ปัญหามันใหญ่กว่าคุณ หรือให้มันเป็นกำแพงขว้างเป้าหมายของคุณ
เมื่อเราฝันเล็กๆ เราก็จะมองเห็นแต่ปัญหาอยู่รอบตัวเต็มไปหมด ท้อเร็ว ขี้เกียจ
เหมือนเวลาคุณเดินลุยไฟระยะทาง 2 เมตร เพื่อไปเอาเงินแค่ 5 บาท
คุณจึงคิดว่า โอ้ยเงิน 5 บาทเอง จะไปเอาทำไม? อยู่เฉยๆดีกว่า
สมมุติถ้าเปลี่ยนจากเงิน 5 บาท กลายเป็นทองแท่ง 100 บาท!!
แต่ต้องเดินลุยไฟระยะทาง 2 เมตร เป็นคุณจะกล้าไปมั้ย?
นี่แหละครับ ว่าทำไมคุณต้องฝันใหญ่…..เพราะแรงจูงใจในการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนเราจะขึ้นอยู่กับ “เป้าหมาย”
สรุปแล้ว บทเรียนนี้ ไม่มีอะไรมากกว่า
“จงตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ เพราะชีวิตนี้สั้นเกินกว่าจะที่อยู่อย่างเล็กๆ”
ที่นี่ 21millionaire สามารถพาคุณไปสู่เป้าหมายได้
เราไม่ได้บอกว่า คุณจะไม่เจอปัญหาเลย
แต่เราสอนวิธีคิด และวิธีทำให้ทุกๆคนไปถึงเป้าหมายได้ ด้วยการ “ลงมือทำ”
เพราะนี้คือ “ธุรกิจของคุณ” จะทำสำเร็จหรือไม่?
อยู่ที่คุณตั้งเป้าหมายขนาดไหน ทำจริง และสู้จริงรึเปล่า?……..มีแค่นี้แหละครับเงื่อนไขความสำเร็จของทุกๆธุรกิจ และทุกๆอาชีพ
—————————————————————————
เรื่องที่ 2
วิถีในการคิดอย่างคนรวย
คุณ เคยสงสัยมั้ยว่า เราก็สู้อุตส่าห์อดออม ขยันทำงานตัวเป็นเกลียว ประหยัดเอวคอดเอวกิ่ว ไม่เคยข้องแวะกับความฟุ่มเฟือย พอมีเงินก็เอาไปต่อยอดให้มันออกดอกออกผล
เรียก ว่า ทำทุกอย่างตามสูตรของการเป็นเศรษฐี ปฏิบัติทุกอย่างตามคัมภีร์แห่งความมั่งคั่ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่ได้เป็นเจ้าของสรรพนามคำว่าเศรษฐีอยู่ดี
ถ้าอย่างนั้น Fundamentals ฉบับนี้ จะพาไปแกะรอยไปดูว่าบรรดาเศรษฐีตัวจริง เขาคิดและมองกันอย่างไร ถึงได้มั่งคั่งอย่างยั่งยืนบนกองเงินกองทอง
ที.ฮา ร์ฟ เอเคอร์ เจ้าของงานเขียน “เคล็ดลับทำใจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน: การคุมเกมสร้างความมั่งคั่ง” เชื่อว่า คนรวยคิดแตกต่างเกี่ยวกับเงิน และแต่ละคนมีแผนการเงินเฉพาะตัว ซึ่งคิดกำหนดขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตในการลงทุนเกี่ยวข้อ งกับเงิน
ลองตามมาดูวิธีคิดและมุมมองแบบคนรวย ว่าเขาคิดกันอย่างไร
O คนรวยเชื่อว่าฉันสร้างชีวิตด้วยตัวเอง
พูดให้เข้าใจง่ายคือ คนที่จะรวยได้ต้องเริ่มคิดสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัว เอง ไม่คิดพึ่งพิงคนอื่น สังเกตว่าพวกที่ไม่ได้เป็นเศรษฐี มักคิดแค่ว่า เราช่างโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาบนกองเงินกองทองที่พ่ อแม่สร้างไว้ให้ ไม่ต้องทำอะไรก็มีมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่เอาไว้ให้ใช้อ ยู่แล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไร ก็อยู่ได้ไปชั่วชีวิต
จะเห็นได้ว่าเศรษฐีในบ้าน เราหลายคน ไม่ว่าจะเป็น”เจริญ สิริวัฒนภักดี” หรือ “เฉลียว อยู่วิทยา” ก็ล้วนแต่สร้างและสั่งสมความร่ำรวยมาด้วยตัวเองแทบทั ้งสิ้น กว่าจะนอนเกลือกกลิ้งบนกองเงินกองทองเศรษฐีพวกนี้เริ ่มต้นจากศูนย์และสองมือเปล่า และเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวไม่รวย
กรณี ของเฉลียว เขาไม่ได้เกิดมาในชาติตระกูลของผู้มีอันจะกิน แต่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวยากจน ทำให้เขาต้องช่วยที่บ้านทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนจะมาขายกระทิงแดงอย่างทุกวันนี้ เขาทั้งขายผลไม้ ขายยา และทำธุรกิจมากมายหลายอย่าง
O มีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก
กว่าจะ มาเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทย เป็นเจ้าของเหล้าแม่โขง และเหล้าแสงโสม เบียร์ช้าง เศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยอย่างเจริญ เป็นคนที่มีหัวการค้าตั้งแต่เล็ก และเขาเชื่อเสมอว่า คนจะรวยได้ต้องทำการค้าเท่านั้น นั่นทำให้เขามุ่งมั่นกับการทำการค้ามาตั้งแต่เด็ก
ถึงแม้”บิล เกตส์”เจ้าของบริษัท ไมโครซอฟท์จะไม่ได้โตมาจากครอบครัวยากจน เพราะพ่อของเขาเป็นทนายและแม่เป็นอาจารย์ แต่เขาก็มีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ช่วงที่เรียนอยู่เขากับเพื่อนสนิทคิดหาช่องทางหาเงิน โดยรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำเงินให้เขาไม่ใช่น้อยเลยสำหรับเด็กในวัย 10 กว่าปี
หรือแม้ กระทั่ง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” เป็นคนที่ขยันหาเงินมาตั้งแต่เด็ก กว่าจะมาร่ำรวยระดับโลกแบบนี้ได้ บัฟเฟตต์ก็เคยเป็นคนที่รู้จักทำมาหากินมาตั้งแต่เด็ก เขาก็เคยหารายได้จากการขายของตามบ้านและเป็นเด็กส่งห นังสือพิมพ์มาก่อน
O คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อชนะเท่านั้น
คน จนมักคิดแค่ว่าเล่นเกมการเงินหรือลงทุนก็ตามเพื่อไ ม่ให้แพ้ ตรงกันข้ามกับพวกคนรวยที่เมื่อเล่นเกมการเงินหรือลงท ุน พวกเขามุ่งมั่นว่าต้องชนะเท่านั้น บิล เกตส์เป็นตัวอย่างของคนประเภทนี้ได้ดีที่สุด วิธีคิดของเขาคือ จะทำอะไรต้องชนะเท่านั้น นั่นเพราะในครอบครัวของเขาสอนให้มีนิสัยรักการแข่งขั นมาตั้งแต่เด็ก
O คนรวยคิดการใหญ่ไม่มองเล็ก
ธรรมชาติ ของคนรวยมักจะคิดการใหญ่ แต่ถ้าเป็นคนจนจะคิดการเล็ก คนรวยไม่ได้คิดแค่เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆข้างทาง แต่พวกเขาคิดเลยเถิดไปถึงร้านอาหารใหญ่ๆที่อาจจะขายแ ฟรนไชส์ได้ในอนาคต หรืออาจจะโกอินเตอร์ไปเปิดในต่างประเทศ
ดูอย่างบิล เกตส์เป็นกรณีศึกษา ก็จะพบว่า เขาเป็นคนที่คิดการใหญ่มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น สมัยที่คอมพิวเตอร์ยังไม่ใช่ของใช้ประจำบ้าน คนมีวิสัยทัศน์อย่างบิล เกตส์กลับมองออกว่า คอมพิวเตอร์จะกลายมาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของ ผู้คน เมื่ออ่านเกมขาด เขาจึงตัดสินใจที่จะทุ่มเทเข้ามาทำธุรกิจที่เกี่ยวพั นกับคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด
O คนรวยมองหาโอกาสไม่สนใจอุปสรรค
คน จนมัวแต่โฟกัสไปที่อุปสรรคและจมดิ่งอยู่กับปัญหา แต่คนรวยแม้จะถูกรุมเร้าด้วยอุปสรรคและปัญหา แต่พวกเขาจะมักจะมองหาโอกาสโดยไม่สนใจกับอุปสรรค พูดให้ชัดขึ้นคือ คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก แต่คนจนมักจะมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งกว่านั้นคือคนรวยมักจะเป็นพวกตื่นตัวและความกลัว หยุดพวกเขาไม่ได้
O คนรวยชื่นชมผู้ประสบความสำเร็จ
ลอง สังเกตดูให้ดีจะพบว่า คนรวยมักจะชื่นชมคนรวยและยินดีกับผู้ที่ประสบความสำเ ร็จในชีวิต แต่คนจนเวลาเห็นคนรวยกว่าหรือเห็นคนอื่นได้ดีกว่ามัก ไม่ค่อยพอใจ
เมื่อบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 2 คน อย่างบิล เกตส์ กับบัฟเฟตต์พบกันเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เขาต่างชื่นชมซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้พูดคุยกับบัฟเฟตต์เพียงไม่ กี่ชั่วโมง บิล เกตส์กลายเป็นคนที่ศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อย่างมาก ฝ่ายบัฟเฟตต์เองก็นับถืออย่างบิล เกตส์เช่นกัน
O คนรวยสมาคมกับคนประสบความสำเร็จ&คิดบวก
โดย มากพวกคนรวยจะคบค้าสมาคมกับคนที่ประสบความสำเร็จ หรือคนที่คิดบวก เพราะบางทีในอนาคตอาจจะคิดหาทางเพื่อเป็นพันธมิตรทาง ธุรกิจกันในอนาคต ฝ่ายคนจนมักจะสมาคมกับคนคิดลบและคนที่ไม่ประสบความสำ เร็จ เช่น กรณีของเจริญ เขาเป็นคนที่มีสายสัมพันธ์อย่างดีกับผู้คนในแวดวงการ ค้า การลงทุนในธุรกิจต่างๆ รวมไปถึง ข้าราชการ ไปจนถึงแวดวงนักการเมือง
O คนรวยเลือกทำเงินโดยไม่รอเวลา
อาจ จะเป็นเพราะคนรวยมักจะคิดแล้วทำเลย ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รอเวลา เมื่อจังหวะมีโอกาสมา พวกเขาก็จะลงมือทำงานทำเงินทันที ตรงกันข้ามกับคนจนที่มักจะรอเวลา และผัดวันประกันพรุ่งกับทุกเรื่อง ตัวอย่างของเจริญค่อนข้างชัดเจน เขาเป็นคนที่มีความคิดแตกฉานในเรื่องการทำธุรกิจ เมื่อจะลงมือทำอะไรเขาจะคิดก่อน เมื่อคิดอย่างถ่องแท้แล้ว เขาก็จะลงมือทำ เรียกว่าเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว ในการทำธุรกิจ
O คนรวยคิดแบบควบคู่ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตัวอย่าง ของคนรวยหลายคน มักจะมีระบบคิดที่ไม่ใช่คิดแค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขาจะคิดควบคู่หลายเรื่องในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าเป็นคนจนมักจะคิดวนอยู่เรื่องเดียว
ถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจ ก็จะเห็นได้ว่า เศรษฐีหลายคน อาจจะเริ่มต้นจากธุรกิจแขนงใดแขนงหนึ่ง แต่เมื่อเริ่มตั้งตัวได้ พวกเขาก็จะแตกไลน์ทำธุรกิจหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน
เช่นกรณีของ เฉลียว ที่เมื่อพูดถึงชื่อเขา แน่นอนทุกคนคงนึกถึงกระทิงแดง แต่ทุกวันนี้เฉลียวไม่ได้ขายกระทิงแดงอย่างเดียว แต่แตกไลน์ขยายธุรกิจออกไปอย่างกว้างไกล ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจยา เครื่องดื่ม อาหาร สนามกอล์ฟ ธุรกิจพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
O คนรวยเน้นหาความมั่งคั่งอื่นไม่ใช่แค่รายได้ประจำ
ข้อ นี้อาจจะต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว อย่างที่บอกว่าคนรวยไม่ได้หวังแค่รายได้จากเงินเดือน ประจำ แต่พวกเขาจะมองหาอย่างอื่นที่มาเติมความมั่งคั่งให้ต ัวเองด้วย แต่คนจนหวังแค่รายได้ประจำ
O คนรวยบริหารเงินได้ดี-ใช้เงินเป็น
คน รวยมักจะบริหารเงินได้ดี แต่คนจนมักจะบริหารจัดการได้ไม่ดีเท่าไหร่ อย่างเจริญ เขาไม่ใช่คนที่ประหยัดเงินท่าเดียว แต่เขาเป็นคนที่ใช้เงินเป็น และมีระบบการบริหารเงินในบริษัทได้ดี
คำว่าบริหารเงินได้ดี อาจหมายรวมไปถึงการบริหารพอร์ตการลงทุนด้วย เช่นกรณีพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์เขาก็บริหารด้วยการ กระจายไปในหุ้นหลายกลุ่มหลายตัวที่เขาคิดและมองเห็นแ ล้วว่าพื้นฐานกิจการดี และสามารถมองเห็นที่มาที่ไปของการสร้างรายได้
ส่วน การใช้เงินเป็นนั้น แม้เศรษฐีพวกนี้จะอยู่ในภาวะร่ำรวยล้นฟ้ากันแล้ว แต่ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า พวกเขาหามาได้และใช้อย่างพอดี ไม่ได้ฟุ่มเฟือยกับกองเงินกองทองตรงหน้า แถมเศรษฐีแต่ละคน เมื่อรวยมาถึงระดับหนึ่งก็มักจะทำหน้าที่เป็นผู้ให้ ด้วยการบริจาคเงินช่วยเหลือให้กับสังคมในรูปแบบต่างๆ
O คนรวยมีเงินช่วยทำงานไม่ใช่ทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน
คน จนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน มาเก็บ แต่คนรวยไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อทำงานหนักได้เงินมา พวกเขาใช้ให้เงินทำงานแทนพวกเขา บัฟเฟตต์เองก็เช่นกัน จริงอยู่เขาเป็นคนที่ขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บออมเงิน และเมื่อถึงจุดหนึ่งก็นำเงินมาลงทุนเพื่อให้เงินทำงา น ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะบัฟเฟตต์เริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และนับจากนั้น เขาก็ให้เงินทำงานหนักกว่าเขาหลายเท่า
O คนรวยเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา
คน จนมักจะคิดว่าฉันรู้หมดแล้ว ตรงกันข้ามกับคนรวยที่ขวนขวายหาความรู้ และมีนิสัยชอบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าใครที่ติดตามหรือแกะรอยความรวยของบัฟเฟตต์ ก็จะพบว่า แม้จะร่ำรวยแล้วแต่เขาก็ยังเป็นคนที่เรียนรู้ทุกสิ่ง ทุกอย่าง และยังแนะนำให้ทุกคนหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว และฝึกฝนทักษะในเรื่องต่างๆอยู่ตลอด
O คนรวยแล้วจะยิ่งสมถะและใช้ชีวิตเรียบง่าย
ข้อ สังเกตอย่างหนึ่งของบรรดาเศรษฐีคือ ยิ่งรวยมากเท่าไหร่ ยิ่งมั่งคั่งมาก พวกเขายิ่งใช้ชีวิตอย่างสมถะและเรียบง่ายมากกว่าคนที ่เพิ่งรวย
ถ้า จะให้เห็นชัดเจนที่สุดคงเป็นเจ้าพ่อกระทิงแดงอย่า งเฉลียว อยู่วิทยา ที่แม้ว่าเขาจะร่ำรวยระดับโลกแล้ว แต่ทุกวันนี้เขายังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะเหมือนกับเมื่ อตอนเริ่มต้นทำธุรกิจ ธรรมชาติของเขาคือความเรียบง่าย กินอยู่ง่ายๆแบบคนธรรมดาทั่วไป ใช้ข้าวของไม่ต่างจากตอนที่บุกเบิกธุรกิจ
ฝ่ายบัฟเฟตต์นั่นก็พอกัน ถึงจะมีกำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างมหาศาลแค่ไหน แต่เขายังคงใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไ ป เขายังคงใช้รถคันเก่าๆเล็กๆคันเดิมแทนรถสปอร์ตสุดหรู อยู่ในบ้านหลังเก่าแทนที่จะเป็นคฤหาสน์หลังโต เงินทองและทรัพย์สินที่บัฟเฟตต์หามาได้นั้น เขาแทบไม่ได้เอามาปรนเปรอความสุขให้ตัวเองอย่างที่คว รจะเป็น แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวของชีวิต ความสุขของมหาเศรษฐีอย่างเขาคือการนำเงินไปบริจาค
ทั้งหมดที่ว่านี้ คือวิธีคิดและมุมมองของผู้ร่ำรวย คุณเองก็เป็นเศรษฐีได้ ถ้าลองหยิบแง่คิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับตัวเอง แค่พัฒนาความฉลาดทางการเงินของตัวเอง และเริ่มต้นคิดให้เหมือนกับตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้าน จะช่วยให้เงินไหลเข้ามาหาคุณได้เอง
จาก http://www.poodangthailand.com/articlepoodang.aspx?id=110
—————————————————————————
เรื่องที่ 3
“เปลี่ยนก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน (Change before you have to)”
คำคมของ เจ็ค เวลส์ อดีตซีอีโอของ GE ที่บรรดานักบริหารต่างให้การยอมรับกันทั่วโลก กับความสามารถนำพา
อาณาจักร GE ให้ยิ่งใหญ่อยู่บนโลกใบนี้
แจ๊ค เวลส์ เชื่อว่าการเปลี่ยนก่อนคนอื่นนั้น สามารถกำหนดชะตากรรมของตนเองได้ หากถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงก็จะเหนื่อยหนัก
เพราะชะตากรรมจะตกอยู่ในมือคนอื่นทันที
เช่นเดียวกัน วันนี้พวกเรากำลังดำเนินธุรกิจอยู่บนโลกออนไลน์ โลกที่เต็มด้วยการเปลี่ยนแปลง ที่ค่อนข้างรวดเร็ว ทุกวันบนสังคม
ออนไลน์จะเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่เราจำเป็นต้องรู้จักรับ วิเคราะห์ และแยกแยะ เอาที่เกิดประโยชน์กับเรามาใช้งาน
ประเด็นที่ผมจะพูดวันนี้คือ การเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมออนไลน์
“มนุษย์ยุค 2.0” คำนี้บ่งบอกให้เรารู้ว่าสังคมออนไลน์ในวันนี้เป็นสังคมที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างหลากหลาย
เว็บไซต์ที่เราเห็นในยุคนี้จะไม่ใช่การสื่อสารเพียงทางเดียว แต่จะสามารถโต้ตอบกันได้มากขึ้นกว่าในอดีตมาก
ดังนั้นช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าบรรดาเว็บเครือข่ายสังคม (Social Network website) ต่าง ๆ เกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
บ้านเราก็เริ่มมาตั้งแต่ Hi5 ที่โด่งดังจากข่าวด้านลบ ๆ ตามหน้าหนังสือพิ่มพ์ และมาถึง Twitter ก็เกิดกระแสจาการที่นักการเมือง
เข้ามาใช้เป็นสื่อโต้ตอบกัน และก็เป็น facebook ที่เป็นสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ทั้งกลุ่มคนเล่นเกมส์ และกลุ่มอื่น ๆ อีกมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้เราเองในฐานะคนทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ ควรทำอย่างไร ?
คำตอบง่าย ๆ คือคุณควรพร้อมปรับตัวเข้าสู่สังคม และเครือข่ายออนไลน์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ เมื่อคุณพร้อมเปลี่ยนแปลง เรียนรู้เข้ากลุ่มเข้าสังคมนั้น ๆ่
ช่องทางการทำตลาด การโปรโมท ก็จะทำได้ง่ายและเข้าถึงคนในสังคมนี้อยู่เสมอ ดังนั้นจงอย่าได้เป็นคนยึดติดอยู่กับสงคมใดสังคมหนึ่งเพียง
อย่างเดียว ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ…
มีหลายคนถามผมว่าแล้วอย่างนี้เราควรทำการโปรโมทธุรกิจเราที่ไหนดีบนโลกออนไลน์ ?
คำตอบนี้อยู่รอบตัวเราครับ แค่หัดสังเกตและหาช่องทางให้ดีครับ ผมขอยกตัวอย่างดังนี้
ทุกวันนี้ผู้คนติดต่อสื่อสาร ส่งจดหมายไปมาหาสู่กันทางไหน อีเมล์ ใช่หรือไม่ แล้วเราเคยใช้ช่องทางนี้โปรโมทบ้างหรือยัง ?
ทุกวันนี้ผู้คนสนทนาออนไลน์กันทางไหนบ้าง MSN , YMS , Gtalk , QQ , Skype etc… ใช่หรือไม่ แล้วเราเคยใช้ช่องทางนี้โปรโมทบ้างหรือยัง ?
ทุกวันนี้ผู้คนค้นหาข้อมูลจากที่ไหน Google ใ่ช่หรือไม่ แล้วเราเคยใช้ช่องทางนี้โปรโมทบ้างหรือยัง ?
ทุกวันนี้ผู้คนนิยมดูวิดีโอออนไลน์จากที่ไหนมากที่สุด Youtube.com ใช่หรือไม่ แล้วเราเคยใช้ช่องทางนี้โปรโมทบ้างหรือยัง ?
ทุกวันนี้เว็บเครือข่ายสังคมที่มาแรงที่สุดคือ facebook , twitter, hi5 , multiply ใช่หรือไม่ แล้วเราเคยใช้ช่องทางนี้โปรโมทบ้างหรือยัง ?
ทุกวันนี้ผู้คนนิยมเล่าเรื่องราวตัวเองผ่านบล๊อกต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ คือ Blogger , WordPress , exteen , bloggang ใช่หรือไม่
แล้วเราเคยใช้ช่องทางนี้โปรโมทบ้างหรือยัง ?
ทุกวันนี้ผู้คนมักจับกลุ่มคุยกันในเรื่องที่ตนเองรัก ตนเองชอบ มักมีชุมชนของตนเองบนโลกออนไลน์ เช่นคนรักหนัง คนรักรถ คนเล่นกล้อง
กลุ่มคนรักมือถือ กลุ่มคนหาเงินผ่านเน็ต เป็นต้น แล้วคุณมีกลุ่มเหล่านี้บนโลกออนไลน์บ้างหรือยัง ?
ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานั้น มิได้จงใจให้คุณมุ่งเข้าไปเพื่อการโปรโมทธุรกิจเพียงเท่านั้น จุดประสงค์ที่ผมต้องการคืออยากให้คุณปรับตัว เปลี่ยนแปลง
มีสังคม มองหาช่องทาง มองหาโอกาส ในการทำธุรกิจของเรานั่นเองครับ
เมื่อ 2-3 วันก่อนผมได้คุย (ผ่าน Skype) กับ Mr. Ash Mufareh ซึ่งเป็นนักธุรกิจ GDI คนหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา
คุณ Mufareh เองทำธุรกิจ GDI มากว่า 5 ปีแล้ว บางทีเราอาจจะคุ้น ๆ ชื่อเขาดี เพราะว่าเคยมีชื่อบนตารางโบนัส Leaderboard บ่อย ๆ
เมื่อสักปีที่ผ่านมา ผมได้สอบถามว่าธุรกิจ GDI ทางฝั่งสหรัฐบ้านเขาเป็นอย่างไรบ้างในปีนี้ เขาตอบมาว่าก็ดีมากครับ การเติบโตของปีนี้ดีขึ้น
นอกจากนั้นผมยังแอบถามว่า ปัจจุบัน คุณใช้เทคนนิคอะไรในการโปรโมท ถึงทำโบนัสได้ติดต่อกันยาวนาน เขาตอบกลับมาว่าปัจจุบันเขาไม่
ได้โปรโมทอะไรแล้ว ผมก็สงสัยว่า อ้าวแล้วทำไมคุยยังทำโบนัสได้หล่ะ เขาตอบสั้น ๆ ว่าเขามีเครือข่ายเยอะ (large network)
กว่า 5 ปีที่ผ่านมาเขาได้สร้างเครือข่ายไว้อย่างกว้างขวาง เพียงพอที่เขาจะหยุดและยังคงมีผู้สนใจเข้ามาเองอย่างต่อเนื่อง
เห็นได้ชัดว่านี่คือพลังของเครือข่าย พลังของการสร้างสังคมออนไลน์ ทุกสังคมที่คุณสร้าง ทุกความสัมพันธ์ที่คุณมีกับเพื่อน ๆ กับคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะวันนี้หรือที่ผ่านมา ไ่ม่มีคำว่าสูญเปล่า ดังนั้นขอให้เริ่มเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียแต่วันนี้ครับ…
ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จดังใจหวังครับ
-สามิตร-
—————————————————————————
เรื่องที่ 4
>> ทฤษฏีท่อส่งน้ำ <<
vdo animetion ที่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แนะนำให้ดู…
เมื่อก่อนผมก็เคยคิดในแบบของคนทำงาน ที่คิดว่าถ้าอยากได้เงินเยอะ ก็ต้องทำงานมากขึ้นสิถึงจะถูก แต่พอดู vdo นี้จบก็เริ่มคิดได้ว่า มันคงไม่ใช่แล้วมั้ง ผมจึงเริ่มแสวงหา สิ่งที่จะทำให้คนธรรมดาอย่างผม สามารถสร้างท่อส่งน้ำกับเขาได้บ้าง
ผมลองมาหลายอย่าง ตั้งแต่ เปิดร้านค้าเอง หรือทำธุรกิจขนาดย่อม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนได้มาเจอกับสิ่งที่ทุกคนได้ยินแล้วได้แต่ยี้ กับคำว่า “ธุรกิจเครือข่าย” ผมค่อนข้างใหม่มากๆ กับธุรกิจนี้ แต่เพราะผมมองเห็นช่องทางและเปิดใจว่า มันสามารถให้ “อิสรภาพทางการเงิน” กับผมได้จริง ผมจึงเริ่มศึกษา ทดลองทำมาหลายๆตัว หลายๆอย่าง มีผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ผมก็ไม่ท้อ ผมเก็บสิ่งเหล่านั้นมาเป็นประสบการณ์
100 คนคิด 10 คนทำ 1 คนสำเร็จ
ผู้คนส่วนใหญ่กระโดดเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย ทำได้สักระยะ พอพบเจอกับอุปสรรค ปัญหาต่างๆ ก็ล้มเลิกความตั้งใจไป
ดังนั้นถ้าหากเราคิดว่าจะเข้ามาทำธุรกิจนี้แล้ว ก็อยากให้ทุกๆ คนเข้าใจธรรมชาติของมันด้วย ธรรมชาติของมันมีอะไรบ้าง
1. ปฏิเสธมากกว่าเห็นด้วย
ธุรกิจ เครือข่ายเป็นการทำงานที่อยู่กับหลักสถิติ และ ค่าเฉลี่ย เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่เราแนะนำแล้วเขาสนใจทั้งหมด แนะนำ 100 เห็นด้วยสัก10 ถือว่าโอเคแล้ว แล้ว 10 อาจจะทำจริงแค่ 1 เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจนะครับว่าโปรโมทแนะนำไปแล้ว ทำไมไม่มีผลตอบรับ ให้กลับมาดูที่ตัวเรานะครับว่าเราทำมันมากแค่ไหน
2. มีคนออกจากองค์กร
เมื่อ คุณมีดาวน์ไลน์คุณเริ่มมีความหวัง มีกำลังใจ แต่ถ้าดาวน์ไลน์ของคุณเกิดไม่อยากทำ หรือ เลิกทำล่ะ หลายคนจิตตก ท้อแท้ แล้วก็เลิกตามดาวน์ไลน์ไปเลย อย่าลืมนะครับ ดาวน์ไลน์เลิกทำ ไม่น่ากลัวกว่าเราเลิกทำซะเองนะครับ เพราะถ้าเรายังไม่เลิก เรายังมีโอกาสสำเร็จ
3. ให้เวลากับธุรกิจ
ธุรกิจ เครือข่าย เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการเติบโต ในช่วงแรกๆ ของการทำจะค่อนข้างช้า เพราะคนในองค์กรยังน้อย คุณจะยังไม่เห็นความเปลี่ ยนแปลงเพียงแค่ 2-3 เดือนแรกหรอกครับ จนกว่าจะถึงจุดหนึ่งที่จำนวนคนในองค์กรของคุณมีมากและเกิดแรงเหวี่ยง ความสำเร็จจะวิ่งเข้ามาหาคุณอย่างรวดเร็ว หลายคนรอคอยไม่ไหว ก็เลิกไปก่อนทั้งๆ ที่อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว คุณลองให้เวลากับธุรกิจนี้ ทำต่อเนื่องแบบไม่หยุดสักปี หรือ 2 ปี ซิครับ รับรองว่าคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลง
ถ้าหากคุณท้อแท้ หรือ อยากที่จะเลิกทำ อยากให้คุณดูว่าคุณแพ้ธรรมชาติของมันหรือเปล่า
แต่ถ้าคุณเข้าใจธรรมชาติของมัน คุณจะเป็นคนหนึ่งที่ทำธุรกิจด้วยความสนุก และ มีความสุขกับการทำงาน
ผมอยากให้ทุกคน
ขอให้เชื่อมั่น ในตัวเอง และมุ่งมั่นไปข้างหน้า อย่าหันหลังไปเด็ดขาด ในเมื่อเรามาถึงจุดๆนี้แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณ จะไม่ได้ อะไรกับมันเลย
องค์ประกอบของความสำเร็จ
จริงๆแล้ว การที่เราจะประสบความสำเร็จไม่ว่าจะงานอะไรก็แล้วแต่ มีเพียงไม่กี่อย่างหรอกครับ เพียงแต่ว่าเราจะทำมันหรือเปล่าเท่านั้นเอง หลายๆคนเลือกที่จะ ทำอะไรง่ายๆ หรือมักง่าย มากกว่าที่จะทำอะไรจริงจัง บางคนหวังเพียงแค่ผลลัพท์ของมันจน ลืมวิธีการ ว่าเราต้องทำอะไรบ้าง ผมเลยจำแนกองค์ประกอบของความสำเร็จออกเป็นข้อๆ ให้เห็นกันดังนี้ครับ
เป้าหมาย อย่า ลืมว่าในโลกของธุรกิจเครือข่ายคือการช่วยเหลือ การที่คุณช่วยเหลือคนอื่นให้มีรายได้มากขึ้นนั่นหมายความว่าคุณเองก็จะมีราย ได้มากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จเป็นอย่างแรกเลยคือ การช่วยเหลือให้บุคคลหลากหลายเหล่านั้นประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญต่อมาคือการตอบตัวเองให้ได้ว่า ทำไมเราถึงอยากที่จะทำธุรกิจนี้ให้ประสบความสำเร็จ เหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกันในการทำธุรกิจ ขอให้คุณจำให้ได้ว่าวันนี้คุณทำธุรกิจเพื่ออะไรหรือเพื่อใคร แล้วคุณจะไม่หมดแรงลงง่ายๆ
ระเบียบวินัย สิ่งนี้หลายๆคน ยังขาดอยู่เยอะเลยครับ โดยเฉพาะกับกำหนดเวลาการทำงานต่างๆ เช่นว่า ตั้งเป้าไว้ว่าวันนี้จะทำงานชิ้นนี้ให้ได้เท่านี้ หรือ เวลานี้จะทำตรงนี้ เวลานั้นจะเริ่มตรงนี้ ตามที่กำหนดไว้ก็ต้องทำตามที่กำหนดไว้ให้ได้ แต่ที่เห็นส่วนใหญ่ มักยืดหยุ่น หย่อนยาน มีเหตุผลนู้นนั่นนี่มาอ้าง จนกลายเป็นความขี้เกียจไป ทำให้ไม่ได้งานเอาซะอย่างงั้น เพราะฉนั้น การที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้น เราต้องเป็นคนที่มี ระเบียบวินัยสูง รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่เราต้องทำได้เป็นอย่างดี
การวางแผน หลังจากที่คุณตั้งมั่นในตัวคุณแล้วว่าต้องทำให้ได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ ตาม คุณเองจำเป็นต้องมีแผนงานและวิธีการทำที่เหมาะสม แผนงานจะเป็นตัวกำหนดวิธีการทำงานของคุณ ซึ่งอาจทำให้คุณสำเร็จหรือล้มเหลวก็ได้ สิ่งสำคัญที่มาถึงขั้นตอนนี้คือ คุณจะทำยังไงเพื่อช่วยเหลือคนนับพัน เราควรเริ่มต้นจากการพูดคุยกับคนแรกก่อน แล้วเราควรพูดอะไรกับเขา อะไรคือสิ่งที่คุณควรบอกเขาเหล่านั้น
ความพยายาม ต้องพยายามให้ถึงที่สุด แม้ว่าจะล้มลงไปสักกี่ครั้ง เราอาจจะ ทำตรงนู้นไม่ได้ ทำตรงนี้ไม่ได้แต่ขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง ว่าตกลง “เราทำไม่ได้ หรือไม่คิดจะทำกันแน่” ไม่ มีนักธุรกิจคนไหนที่ประสบความสำเร็จโดยที่ไม่เคยล้มเหลว หรือผิดหวังมาก่อนหรอกครับ ทุกคนล้วนแต่เคยล้มมาแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ว่า เค้าล้มแล้วเค้าไม่เคยท้อแท้ แต่เค้าลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ทำใหม่ในสิ่งที่เค้ายังทำมันไม่สำเร็จก็แค่นั้นเอง
สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจให้สำเร็จ ก็คือ วิธีการที่คุณสามารถช่วยเหลือสายงานให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นได้จากสิ่งที่ คุณทำอยู่ มันไม่ใช่โอกาสที่มาจากบริษัท มันไม่ใช่โอกาสที่มาจากผลิตภัณท์อันดับ 1 แต่เป็นโอกาสจากมนุษย์ที่ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน จากนั้นสอนเขาต่อว่าเขาจะสอนคนอื่นต่อได้อย่างไร หากคุณทำได้อย่างนี้ โอกาสที่จะสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายได้ในเวลาสั้นไม่ใช่เรื่องยาก
—————————————————————————
เรื่องที่ 5 ( รวบรวม คำคม คติสอนใจ )
ฐานันดร์ นราสวัสดิ์ ( นัน )
e-mail / msn : admin@bethehigh.ws
website : www.bethehigh.ws
mobile : 087-8868470